การล้างผักและผลไม้อย่างสะอาดจึงเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยลดปริมาณสารปนเปื้อน โดยทั่วไปการล้างผักและผลไม้สามารถทำได้ด้วยวิธีง่ายๆ ดังนี้
- ล้างผักและผลไม้ด้วยน้ำเปล่าสะอาด โดยแช่ผักและผลไม้ในน้ำสะอาดเป็นเวลาอย่างน้อย 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าอีกครั้ง
- ใช้แปรงหรือฟองน้ำขัดทำความสะอาดผักและผลไม้ที่มีผิวขรุขระ เช่น แตงกวา แครอท หัวหอม มะเขือเทศ เป็นต้น
- ใช้น้ำส้มสายชูหรือเกลือละลายน้ำล้างผักและผลไม้ โดยผสมน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำสะอาด 4 ลิตร หรือผสมเกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำสะอาด 4 ลิตร แช่ผักและผลไม้ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่าอีกครั้ง
นอกจากวิธีการล้างผักและผลไม้แบบดั้งเดิมแล้ว ยังมีการใช้อุปกรณ์กรองน้ำล้างผักและผลไม้ ซึ่งสามารถช่วยขจัดสารพิษต่างๆ ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
อุปกรณ์กรองน้ำล้างผักและผลไม้มีให้เลือกหลายประเภท ขึ้นอยู่กับชนิดของสารปนเปื้อนที่ต้องการให้กำจัด โดยอุปกรณ์กรองน้ำล้างผักและผลไม้ที่นิยมใช้ ได้แก่
- กรองน้ำแบบคาร์บอน ทำหน้าที่ดูดซับสารเคมีและสารพิษต่างๆ ที่ละลายในน้ำ
- กรองน้ำแบบ UV ใช้รังสี UV ฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรีย
- กรองน้ำแบบโอโซน ใช้โอโซนฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรีย
การเลือกอุปกรณ์กรองน้ำล้างผักและผลไม้ควรพิจารณาจากชนิดของสารปนเปื้อนที่ต้องการให้กำจัด และขนาดของผักและผลไม้ที่ต้องการล้าง
การใช้อุปกรณ์กรองน้ำล้างผักและผลไม้ร่วมกับการล้างผักและผลไม้ด้วยวิธีดั้งเดิม จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขจัดสารปนเปื้อน และช่วยให้ผักและผลไม้สะอาดยิ่งขึ้น ปลอดภัยต่อสุขภาพมากขึ้น
ข้อควรระวังในการล้างผักและผลไม้
- ควรล้างผักและผลไม้ก่อนนำไปปรุงอาหารทุกครั้ง
- ควรล้างผักและผลไม้ให้สะอาด อย่างน้อย 5 นาที
- ควรล้างผักและผลไม้ที่มีผิวขรุขระด้วยแปรงหรือฟองน้ำ
- ควรหลีกเลี่ยงการล้างผักและผลไม้ด้วยน้ำร้อน เพราะอาจทำให้สารพิษละลายออกมามากขึ้น
- ควรทิ้งผักและผลไม้ที่มีรอยช้ำหรือเน่าเสีย
การล้างผักและผลไม้อย่างสะอาดเป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการได้รับสารพิษจากผักและผลไม้ ช่วยให้ผักและผลไม้ปลอดภัยต่อสุขภาพมากขึ้น